การลงทุนในหลักทรัพย์ในต่างประเทศ 1. ผู้ลงทุนสถาบัน ได้แก่ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ สำนักงานประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนรวม (ไม่รวมกองทุนส่วนบุคคล) ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ บริษัทประกันชีวิตและประกันวินาศภัย สถาบันการเงินที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้ง นิติบุคคลไทยที่มีสินทรัพย์ตั้งแต่ 5, 000 ล้านบาท บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า สามารถลงทุนในหลักทรัพย์ในต่างประเทศ หรือหลักทรัพย์สกุลเงินตราต่างประเทศที่ออกหรือเสนอขายในไทยได้ไม่จำกัดจำนวน 2. บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลไทยที่ไม่ใช่ผู้ลงทุนสถาบัน สามารถลงทุนในหลักทรัพย์ในต่างประเทศ หรือหลักทรัพย์สกุลเงินตราต่างประเทศที่ออกหรือเสนอขายในไทยโดยไม่ผ่านตัวแทนการลงทุนในประเทศได้ในวงเงินไม่เกิน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อรายต่อปี ทั้งนี้ ผู้ลงทุนข้างต้นสามารถเลือกลงทุนผ่านตัวแทนการลงทุนในประเทศ เช่น บริษัทหลักทรัพย์ ธนาคารพาณิชย์ ผู้จัดการกองทุนส่วนบุคคล และตัวแทนสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้ โดยไม่จำกัดจำนวน ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก. ล. ต. ) กำหนดด้วย ค.
ค่าสินค้าและบริการ ก. ค่าสินค้าออก ผู้ส่งสินค้าออกที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือเทียบเท่า จะต้องนำเงินค่าของส่งออกเข้ามาในประเทศทันทีที่ได้รับชำระเงินจากผู้ซื้อในต่างประเทศ ซึ่งต้องไม่เกิน 360 วันนับแต่วันที่ส่งของออก และจะต้องขายหรือฝากเงินตราต่างประเทศนั้นกับนิติบุคคลรับอนุญาตภายใน 360 วันนับแต่วันที่ได้มาหรือนำเข้า ข. ค่าสินค้าเข้า ผู้นำสินค้าเข้าสามารถซื้อเงินตราต่างประเทศหรือถอนเงินตราต่างประเทศจากบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ เพื่อโอนไปชำระค่าสินค้าที่ซื้อจากผู้ขายในต่างประเทศได้โดยไม่มีข้อจำกัด และการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตไปชำระค่าสินค้าสามารถกระทำได้โดยไม่ต้องขออนุญาตเจ้าพนักงาน ค. ค่าบริการ บุคคลหรือนิติบุคคลไทยที่ได้รับเงินค่าบริการจากต่างประเทศตั้งแต่ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือเทียบเท่า จะต้องนำเงินเข้ามาในประเทศทันทีที่ได้รับชำระเงินจากต่างประเทศ ซึ่งต้องไม่เกิน 360 วันนับจากวันที่ทำธุรกรรม และจะต้องขายหรือฝากเงินตราต่างประเทศนั้นกับนิติบุคคลรับอนุญาตภายใน 360 วันนับแต่วันที่ได้มาหรือนำเข้า การชำระค่าบริการให้แก่บุคคลหรือนิติบุคคลในต่างประเทศ เช่น ค่าธรรมเนียม ดอกเบี้ย เงินปันผล เงินกำไร หรือค่ารอยัลตี้ รวมถึงการโอนเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศ หรือค่าใช้จ่ายการศึกษา สามารถกระทำได้โดยแสดงเอกสารหลักฐานต่อนิติบุคคลรับอนุญาต 4.
การโอนเงินเพื่อวัตถุประสงค์อื่น 1. การส่งเงินเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศของตนเองหรือครอบครัว ให้ทำได้ไม่เกิน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือเทียบเท่าต่อรายต่อปี 2. การส่งเงินให้เปล่าแก่บุคคลในต่างประเทศ ให้ทำได้ไม่เกิน 50, 000 ดอลลาร์สหรัฐหรือเทียบเท่าต่อรายต่อปี ทั้งนี้ กรณีการส่งเงินของผู้ที่ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ต่างประเทศเป็นการถาวร หรือการส่งเงินให้ญาติที่ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ต่างประเทศเป็นการถาวร ให้ทำได้โดยไม่จำกัดจำนวน การโอนเงินออกนอกประเทศเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ สามารถทำได้ ยกเว้นวัตถุประสงค์ที่กำหนดให้ต้องยื่นขออนุญาตจาก ธปท. ก่อน เช่น การชำระธุรกรรมซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรือทำธุรกรรมอนุพันธ์กับคู่สัญญาในต่างประเทศ 6. การแจ้งรายการการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ บุคคลใดซื้อ ขาย ฝาก หรือถอนเงินตราต่างประเทศกับนิติบุคคลรับอนุญาต ต้องแจ้งรายการการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ ต่อนิติบุคคลรับอนุญาต โดยเมื่อทำธุรกรรมดังกล่าวแล้ว ธนาคารจะออกหลักฐานประกอบการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศตามที่กำหนด ให้แก่ผู้ทำธุรกรรม ฝ่ายนโยบายและกำกับการแลกเปลี่ยนเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย มกราคม 2564
บัญชีเงินฝากธนาคาร ก.
เพื่อนๆ เคยไปเที่ยวต่างประเทศ แล้วรู้สึกสับสนกับค่าเงิน ในเวลาที่ต้องจับจ่ายใช้สอยกันมั้ยครับ.. ไม่ว่าจะเป็น ค่ารถ ค่าโรงแรม ค่าอาหาร หรือจะเป็นการซื้อของฝากต่างๆ ว่าเมื่อคิดเป็นเงินบาทไทยแล้ว เป็นเงินกี่บาท? มันถูก หรือ แพงไป? จึงขอเสนอวิธีคิดค่าเงินแบบง่ายๆ ครับ ไม่ต้อง บวก ลบ คูณ หาร กันหลายตลบจนปวดหัว กับ สกุลเงิน 4 ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงเรา (ต้อนรับ AEC อิอิ^^) เริ่มที่ "ลาว" ที่นี่ใช้เงิน "กีบ" ครับ ส่วนใหญ่ก็มีตั้งแต่แบงค์หลักพันขึ้นไป เลข 0 หลายตัวมาก เวลาซื้อของอาจสับสนได้ ว่าราคาที่ได้จะถูกใจเราหรือเปล่า วิธีคิดง่ายๆ ก็คือ "ตัด 0 ออก 3 ตัว แล้วคูณ 4" ครับ เช่น… แบงค์ 10, 000 กีบ เราก็ตัด 0 ออก 3 ตัวท้าย (ผมจะใช้วิธีเอานิ้วปิดเลข 0 ทั้ง 3 ตัว ครับง่ายดี) ก็จะ = 10 จากนั้น X4 = 40 คือค่าเงินบาทครับ (10, 000 จึง = 40 บาทไทย) "เวียดนาม" จะใช้วิธีเดียวกับที่ลาวครับ แต่เปลี่ยนจาก X4 เป็น X1. 5 ครับ เช่น… แบงค์ 10, 000 ดอง เราก็ตัด 0 ออก 3 ตัวท้าย ก็จะ = 10 จากนั้น X1.
ส่วนมาเลเซียตกมาอยู่กลุ่ม 3 ด้วยสาเหตุของการลงทุนต่างประเทศเกินกำลังของรายรับเงินตราต่างประเทศ ตารางที่ 1 แสดงอัตราผลตอบแทนการลงทุนโดยเฉลี่ยในตลาดทุน เงินตราต่างประเทศ และ ตราสารหนี้ เฉพาะปี 2018 และ สำหรับช่วงเวลา 2001–2018 โดยรวมของกลุ่มประเทศ S6 และ V6 โดยรวมตามลำดับ ตัวเลขที่แสดงชี้วัดว่ากลุ่ม S6 มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยดีกว่ากลุ่ม V6 ไม่ว่าเฉพาะปี 2018 หรือ 2001- 2018 โดยรวม ในปี 2018 กลุ่ม S6 ได้อัตราผลตอบแทนสูงกว่ากลุ่ม V6 ในตลาดทุน เงินตราต่างประทศ และ ตราสารหนี้ 16. 1, 10. 6 และ 6. 0 หน่วยเปอร์เซนต์ตามลำดับ ในช่วงปี 2001-2018 กลุ่ม S6 ก็ยังสูงกว่า 2. 1, 3. 7 และ 2.